อาการเวียนหัวบ้านหมุนเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน มีสองลักษณะหลักคือ อาการมึนเวียนศีรษะ (Dizziness) และอาการเวียนหัวบ้านหมุน (Vertigo) โรงพยาบาลจึงต้องถามประวัติให้ชัดเจนเพื่อเข้าใจอาการที่ผู้ป่วยรู้สึกได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากบางครั้งคำวิจารณ์ของผู้ป่วยอาจมีความหมายที่แตกต่างกัน
การเกิดอาการเวียนศีรษะอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การมีความดันตกในท่ายืน (Postural Hypotension) หรือภาวะโลหิตจาง ส่วนผู้สูงอายุอาจมีความผิดปกติในระบบประสาทสัมผัสที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัว เช่น การมองเห็นลดลง และความผิดปกติของการรับรู้อากัปกิริยา (Proprioception)
ส่วนอาการเวียนหัวบ้านหมุน (Vertigo) เกิดจากความผิดปกติในการรับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย สาเหตุอาจมาจากหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (BPPV) หรือน้ำในหูชั้นในผิดปกติ เป็นต้น การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละผู้ป่วย อาจรวมถึงการเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยเมื่อมีอาการเวียนหัว เช่น การนอนหนุนศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย และการลดปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มกาแฟ
หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติม เช่น คลื่นไส้หรืออาเจียนมากขึ้น หรือมีอาการหมดสติ การรักษาอาจเป็นการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการหรือการฝังหินปูนในหูชั้นในในกรณีของ BPPV โดยแพทย์จะพิจารณารักษาตามสาเหตุและอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
สาเหตุของความผิดปกตินี้ เกิดได้ตั้งแต่ความผิดปกติของระบบการทรงตัวส่วนปลาย (หูชั้นในและเส้นประสาทการทรงตัว) หรือระบบการทรงตัวในระบบประสาทส่วนกลาง
- หินปูนในหูชั้นในเคลื่อน หรือเวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่า (Benign Paroxysmal Positioning Vertigo: BPPV) เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่พบได้บ่อยที่สุด โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของหูชั้นใน พบมากในผู้สูงอายุ อาการเฉพาะของโรคนี้คือเวียนศีรษะ บ้านหมุนที่เกิดขึ้นทันทีทันใดในขณะเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ เช่น ระหว่างกำลังล้มตัวลงนอนหรือลุกจากที่นอน เงยหน้า ก้มหยิบของ เป็นต้น อาการมักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ เป็นแค่ช่วงวินาทีที่ขยับศีรษะ แล้วอาการจะค่อยๆ หายไป ผู้ป่วยโรคนี้จะไม่มีอาการหูอื้อ ไม่พบการสูญเสียการได้ยินหรือเสียงผิดปกติในหู (ยกเว้นในรายที่เป็นโรคหูอยู่ก่อนแล้ว) รวมถึงไม่มีอาการทางระบบประสาท เช่น แขนขาชาหรืออ่อนแรง
- น้ำในหูชั้นในผิดปกติ หรือโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน โดยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบว่าอาการของโรคเป็นผลจากความผิดปกติของน้ำที่อยู่ภายในหูชั้นใน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเวียนศีรษะแบบรู้สึกหมุนอย่างรุนแรง ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน และสูญเสียสมดุลของร่างกาย ทำให้เซหรือล้มได้ง่าย อาการเวียนศีรษะที่เกิดจากโรคนี้อาจนานเป็นนาทีจนถึงหลายชั่วโมง ซึ่งในระหว่างที่เกิดอาการผู้ป่วยควรอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับศีรษะ เพราะอาจทำให้มีอาการเวียนศีรษะเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีการได้ยินลดลงและมีเสียงดังในหู บางครั้งอาจพบอาการหูอื้อได้ด้วย
- สาเหตุอื่นๆ
- การอักเสบของหูชั้นใน (Labyrinthitis) เกิดจากการอักเสบจากเชื้อไวรัส ผู้ป่วยมักมีประวัติการเป็นหวัดหรือระบบทางเดินหายใจอักเสบนำมาก่อน ถ้าเชื้อไวรัสลามเข้าสู่หูชั้นในและเส้นประสาท จะทำให้เกิดการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะรุนแรงและเป็นอยู่หลายวัน ผู้ป่วยมักมีการได้ยินที่ปกติ แต่หากเป็นการอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีประวัติโรคการอักเสบของหูชั้นกลาง โรคหูน้ำหนวก แล้วลุกลามเข้าสู่หูชั้นใน อาการมักรุนแรงมาก ผู้ป่วยมักมีอาการสูญเสียการได้ยินร่วมด้วย
- โรคเนื้องอกของประสาทการทรงตัวหรือเส้นประสาทการได้ยิน (Acoustic Neuroma) ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะร่วมกับการได้ยินลดลง บางรายอาจมีเสียงรบกวนในหู สำหรับรายที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่และไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจมีอาการชาที่ใบหน้าซีกนั้น อัมพาตของใบหน้า เดินโซเซ หรืออาการทางสมองอื่นๆ เนื่องจากก้อนเนื้องอกไปกดทับเนื้อสมอง
- โรคเส้นประสาทการทรงตัวในหูอักเสบ (Vestibular Neuronitis) ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะรุนแรงนานหลายวันจนถึงสัปดาห์ แต่ไม่ส่งผลต่อการได้ยิน ผู้ป่วยยังคงได้ยินเป็นปกติ
- กระดูกกะโหลกแตกหัก (Temporal Bone Fracture)
- เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ (Vertebra-Basilar Insufficiency)
- คลื่นไส้ อาเจียน น้ำมูก น้ำตาไหล
- หน้าซีด
- ความดันสูงขึ้น
- ปวดมึนศีรษะ
- พยายามอย่านอนราบไปกับพื้น แต่ให้นอนหนุนศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย จะช่วยบรรเทาอาการเวียนหัวแบบบ้านหมุนได้ดีกว่า
- เมื่อเริ่มมีอาการเวียนหัว บ้านหมุน ให้พยายามระมัดระวัง เคลื่อนไหวให้ช้าลง เพื่อป้องกันการหกล้ม
- หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะในระหว่างเกิดอาการ เช่น การหมุนหันศีรษะเร็วๆ การเปลี่ยนแปลงท่าทางอิริยาบถอย่างรวดเร็ว การก้มเงยคอหรือหันอย่างเต็มที่
- ลดปริมาณหรืองดการสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ และการพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ไม่ควรอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การขับขี่ยานพาหนะในขณะยังมีอาการ การปีนป่ายที่สูง
หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
- คลื่นไส้หรืออาเจียนอาการเป็นมากขึ้น
- มีภาวะขาดน้ำปานกลาง หรือรุนแรง
- มีภาวะหมดสติ
- อาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์
- มีอาการบ่อย หรือรุนแรง
โดยแพทย์จะพิจารณารักษาตามสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ซึ่งแนวทางการรักษาจะแตกต่างกันไป โดยแพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย