Every day

7:00 - 18:00

Call us

0970405069 , 0956416356

ตับแข็ง

Highlights:

  • ตับแข็ง คือ การที่ตับถูกทำลายจากสาเหตุต่างๆ และเกิดการซ่อมแซมตัวเอง โดยสร้างเนื้อเยื่อคล้ายพังผืด ซึ่งมีลักษณะแข็งขึ้นมาแทนเนื้อตับปกติ ทำให้การทำงานของตับลดลง เลือดไปเลี้ยงตับน้อย ส่งผลต่อการสร้างสารอาหาร ฮอร์โมน การจัดการกับยา และสารพิษต่าง ๆ
  • การดูแลตัวเองในเบื้องต้น เพื่อลดความเสี่ยงจากตับแข็ง คือ การงดเครื่องดื่มแอลกฮอล์ และการตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบเอและบี สำหรับผู้ที่ไม่มีภูมิควรได้รับการวัคซีนป้องกัน
  • การตรวจไฟโบรสแกน ช่วยประเมินระดับความรุนแรงของภาวะตับแข็ง ประกอบการติดตามผล เพื่อเช็กการตอบสนอง และวางแผนการแก้ไขโรคให้กับผู้ป่วย อาจใช้แทนการเจาะเนื้อตับ ในผู้ป่วยที่มีข้อห้ามหรือปฏิเสธการเจาะตับ

ตับแข็ง คือ การที่ตับถูกทำลายจากสาเหตุต่าง ๆ และเกิดการซ่อมแซมตัวเองโดยสร้างเนื้อเยื่อคล้ายพังผืด ซึ่งมีลักษณะแข็งขึ้นมาแทนเนื้อตับปกติ ตับแข็งจะส่งผลทำให้การทำงานของตับลดลง เลือดที่ไปเลี้ยงตับน้อย ส่งผลต่อการสร้างสารอาหาร ฮอร์โมน การจัดการกับยาและสารพิษต่าง ๆ

ตับแข็งเกิดจากสาเหตุใด

สาเหตุของตับแข็งมีได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ไวรัสตับอักเสบ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซี
  • โรคไขมันพอกตับ
  • การได้รับสารพิษที่มีผลต่อตับ หรือการรับประทานยาบางชนิด ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • โรคประจำตัว เช่น โรควิลสัน โรคซิสติกไฟโบรซิส ภาวะดีซ่านจากท่อน้ำดีอุดตัน ภาวะตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเอง เป็นต้น

ทำไม? ไม่ดื่มเหล้าแต่เป็นตับแข็งได้

จากสาเหตุต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์เป็นเพียงแค่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดภาวะตับแข็ง การป้องกันและกำจัดสาเหตุอื่น ๆ เช่น การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ลดการใช้ยาและสารเคมี รวมถึงสมุนไพรที่อาจมีผลกับตับ การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การรักษาดัชนีมวลกายให้อยู่ในภาวะปกติ การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอในผู้ที่มีความเสี่ยง และการปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ จึงมีความสำคัญที่จะช่วยป้องกันโรคตับแข็งได้

อาการของตับแข็ง

  1. ภาวะหลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร (Esophageal varices) เกิดจากพังผืดในตับ ดึงรั้งทำให้เกิดความดันเลือดในตับและในหลอดอาหารสูงขึ้น จนเกิดเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร โดยหากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตก จะทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือด ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้
  2. ท้องมาน (Ascites) เป็นภาวะที่มีน้ำในช่องท้องปริมาณมากกว่าปกติ เกิดจากการที่แรงดันของหลอดเลือดในตับสูงขึ้นจนเกิดการรั่วซึมของน้ำออกมาจากตับ ร่วมกับภาวะที่ผู้ป่วยตับแข็งมักมีระดับโปรตีนอัลบูมินที่ต่ำลง (โปรตีนชนิดนี้จะช่วยอุ้มน้ำให้อยู่ในหลอดเลือด) จึงเกิดการสะสมปริมาณน้ำในช่องท้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการท้องบวม ขาบวม สะดือจุ่น ภาวะนี้รักษาได้โดยการให้ยาขับปัสสาวะ

นอกจากนี้ผู้ป่วยดังกล่าว อาจเกิดการติดเชื้อในช่องท้องแทรกซ้อนได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ลดลง ส่งผลให้มีอาการไข้ ปวดท้อง หรือท้องเสีย แพทย์จะวินิจฉัยโดยการเจาะน้ำในช่องท้องไปตรวจ และให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

  1. ภาวะไตวายจากตับแข็ง (Hepatorenal syndrome) เกิดจากภาวะตับที่เสื่อมสภาพ ทำให้มีไนตริกออกไซด์ และระบบฮอร์โมนที่ควบคุมการบีบตัวของเส้นเลือดแดงผิดปกติ มีผลให้เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง ทำให้เกิดภาวะไตวายขึ้น โดยภาวะนี้พยาธิสภาพของเนื้อไตจะปกติดี
  2. ภาวะทางสมองของผู้ป่วยตับแข็ง เกิดจากความสามารถในการขจัดสารพิษของตับลดลง ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนเลือดในตับที่ผิดปกติ ส่งผลให้ของเสีย (โดยเฉพาะสารแอมโมเนีย) บางส่วนไม่ผ่านการกรองที่ตับ ทำให้เกิดสารพิษดังกล่าวปนกับกระแสเลือด และมีผลกระทบต่อการทำงานของสมอง

โดยผู้ป่วยมีอาการง่วงตอนกลางวัน มือสั่น พูดจาสับสน ความรู้สึกตัวลดลง หรือหมดสติได้ โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ได้แก่ การติดเชื้อ ท้องผูก

การรักษาตับแข็ง และคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยตับแข็ง

  1. หาสาเหตุของตับแข็งและรักษาสาเหตุ เพื่อลดการทำลายเนื้อตับ สามารถทำให้พังผืดลดลงได้ เช่นรักษาหรือกำจัดไวรัสตับอักเสบบี ซี และสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ หรืองดเว้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
  2. โภชนาการ ผู้ป่วยตับแข็งควรรับประทานอาหารประมาณ 35 – 40 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมและมีโปรตีนอย่างน้อย 1.2 – 1.5 กรัม ต่อกิโลกรัมต่อวัน เนื่องจากตับมีความสามารถในการสะสมพลังงานได้น้อยกว่าปกติ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหาร 4 – 6 มื้อต่อวัน โดยเฉพาะมื้อก่อนนอน นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคตับแข็งควรงดอาหารเค็ม และเกลือ เพื่อลดการบวมและการสะสมของน้ำในช่องท้อง
  3. การส่องกล้องทางเดินอาหาร เพื่อดูหลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร โดยหากพบเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร แพทย์อาจพิจารณาให้ยา เพื่อลดความดันในหลอดเลือดหรือรัดเส้นเลือดดำขอด ในบริเวณหลอดอาหาร เพื่อป้องกันเส้นเลือดแตก
  4. การตรวจคัดกรองมะเร็งตับ เนื่องจากผู้ป่วยตับแข็งจากทุกสาเหตุ มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นผู้ป่วยตับแข็งทุกคน ควรได้รับการตรวจคัดกรองโดยการอัลตร้าซาวด์ทุก ๆ 6 เดือน
  5. ผู้ป่วยตับแข็งทุกรายควรได้รับการตรวจภูมิคุ้มกัน ไวรัสตับอักเสบเอและบี และควรได้รับการฉีดวัคซีนหากผู้ป่วยยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสดังกล่าว

ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุลาดพร้าว

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*
*