Every day

7:00 - 18:00

Call us

0970405069 , 0956416356

ความดันในผู้สูงอายุ

ความดันในผู้สูงอายุ

เป้าหมายความดันโลหิตคือ <140/90 มม.ปรอท สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดระดับต่ำถึงปานกลาง และ <130/80 มม.ปรอท สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เช่นผู้ป่วยเบาหวาน, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคหัวใจและหลอดเลือดหรือโรคไต อย่างไรก็ตามมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาล่าสุดดังนี้:

  1. เป้าหมายความดันโลหิตตัวบน (Systolic Blood Pressure, SBP) <140 มม.ปรอท สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดระดับต่ำถึงปานกลาง ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยเบาหวาน, ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมองหรือ TIA มาก่อน, ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจ, และผู้ป่วยที่เป็นไตเสื่อม ทั้งจากโรคเบาหวานและไม่ใช่จากโรคเบาหวาน

  1. สำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่อายุน้อยกว่า 80 ปี และมี SBP มากกว่า 160 มม.ปรอท ควรลด SBP อยู่ในช่วง 150-140 มม.ปรอท

  1. สำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่แข็งแรงแต่อายุน้อยกว่า 80 ปี ควรลด SBP เหลือน้อยกว่า 140 มม.ปรอท และในผู้ป่วยที่เปราะบางควรลด SBP ให้เท่าที่ผู้ป่วยจะทนได้

  1. สำหรับผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 80 ปี และมี SBP มากกว่า 160 มม.ปรอท ควรลด SBP ให้อยู่ในช่วง 150-140 มม.ปรอท โดยผู้ป่วยต้องมีสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจสมบูรณ์

  1. ความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure, DBP) เป้าหมายคือ <80 มม.ปรอท สำหรับทุกคน ยกเว้นผู้ป่วยโรคเบาหวานซึ่งควรให้ DBP <85 มม.ปรอท อย่างไรก็ตามควรให้ DBP อยู่ระหว่าง 80-85 มม.ปรอท ซึ่งถือว่าปลอดภัยและทนได้ดี

แนวทางการรักษา White Coat Hypertension (WCH) และ Masked Hypertension (MH) ดังนี้:

White Coat Hypertension (WCH):

– สำหรับผู้ป่วยที่มี WCH และไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย ควรปรับพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องและติดตามอย่างใกล้ชิด

– หากผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่นโรคอ้วนลงพุงหรือภาวะที่อวัยวะเสียหายโดยไม่มีอาการ อาจพิจารณาให้ยาลดความดันโลหิตร่วมกับการปรับพฤติกรรม

Masked Hypertension (MH):

– สำหรับผู้ป่วยที่มี MH ควรปรับพฤติกรรมร่วมกับการใช้ยาลดความดันโลหิต

การรักษาความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุแนวทางดังนี้:

– ผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตตัวบน (SBP) มากกว่า 160 มม.ปรอท ควรลด SBP ลงอยู่ในช่วง 140-150 มม.ปรอท สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 80 ปี และมีสุขภาพดี

– ในผู้สูงอายุที่อายุน้อยกว่า 80 ปี และมี SBP มากกว่า 140 มม.ปรอท ให้ใช้ยาลดความดันโลหิตเพื่อเล็งให้ความดันโลหิตตัวบนเหลือน้อยกว่า 140 มม.ปรอท หากผู้ป่วยทนยาได้ดี

– สำหรับผู้สูงอายุที่มี SBP มากกว่า 160 มม.ปรอท ควรลด SBP ลงอยู่ในช่วง 140-150 มม.ปรอท สำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง

– การเลือกใช้ยาลดความดันโลหิตขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและการติดตามผลของการรักษาทางคลินิค ในผู้สูงอายุที่ยากต่อการรักษา การใช้ยาลดความดันโลหิตขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล

นอกจากนี้ยาลดความดันโลหิตทุกชนิดสามารถใช้ในผู้สูงอายุได้ และแนะนำให้ใช้ยาขับปัสสาวะ (diuretic) และยาย่อต่อเส้นเลือดเฉพาะชนิด (calcium channel blockers) ในผู้ป่วยที่มี Hypertension Isolated Systolic (ISH) อย่างไรก็ตาม การใช้ยาลดความดันโลหิตควรพิจารณาตามคำแนะนำและการติดตามจากแพทย์ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดเสมอ และควรปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามความต้องการของผู้ป่วยและการตอบสนองต่อการรักษาของแต่ละบุคคล.

แนวทางการรักษาความดันโลหิตสูงในสตรี:

  1. ไม่แนะนาให้ใช้ Selective Estrogen Receptor Modulators (SERMs) เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด สำหรับผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงมาก แต่อาจพิจารณาใช้ในสตรีที่มีอาการมากของสมรรถภาพทางเพศลดลง โดยไม่มีการหมดประจำเดือน

  1. ให้ใช้ยาลดความดันโลหิตในหญิงตั้งครรภ์ที่มีความดันโลหิตสูงรุนแรง โดยให้ระมัดระวังเฉพาะในกรณีที่ความดันโลหิตตัวบน (SBP) เกิน 160 มม.ปรอท หรือความดันโลหิตตัวล่าง (DBP) เกิน 110 มม.ปรอท

  1. พิจารณาให้ยาลดความดันโลหิตในหญิงตั้งครรภ์ที่มีความดันโลหิตเกิน 150/95 มม.ปรอท โดยควรระมัดระวังในกรณีที่มีอวัยวะเสียหายโดยไม่มีอาการและความดันโลหิตเกิน 140/90 มม.ปรอท

  1. แนะนำให้ใช้ Aspirin (ASA) ขนาดต่ำในสตรีที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคโรคครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) และมีความเสี่ยงต่ำในการเกิดการไหลเวียนเลือดในทางเดินอาหารตั้งแต่อายุครรภ์ 12 สัปดาห์จนคลอด

  1. ไม่ควรให้และควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา ACE inhibitors และ Angiotensin blockers ในสตรีวัยผสมพันธุ์

  1. พิจารณาใช้ Methyldopa, Labetalol, และ Nifedipine ในหญิงตั้งครรภ์ และใช้ Labetalol หรือ Nitroprusside ในกรณีฉุกเฉิน

นี่คือแนวทางการรักษาความดันโลหิตสูงในสตรีที่อาจช่วยให้มีสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่ดีขึ้นในระยะยาวและป้องกันภาวะที่อาจเกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ได้ดีขึ้นด้วย.

แนวทางการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและมีความดันโลหิตสูง:

  1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและมีความดันโลหิตตัวบน (SBP) มากกว่า 160 มม.ปรอท ควรเริ่มต้นการใช้ยาลดความดันโลหิตทันที และพิจารณาเริ่มยาเมื่อ SBP > 140 มม.ปรอท

  1. เป้าหมายความดันโลหิตตัวบนในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานควรเป็นน้อยกว่า 140 มม.ปรอท

  1. เป้าหมายความดันโลหิตตัวล่างในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานควรเป็นน้อยกว่า 85 มม.ปรอท

  1. ให้พิจารณาใช้ยากลุ่ม ACE inhibitors และ Angiotensin blockers (RAS blockers) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโปรตีนในปัสสาวะ (proteinuria) หรือ microalbuminuria (MAU)

  1. การเลือกใช้ยาลดความดันโลหิตสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายควรพิจารณาโรคหรือภาวะที่เป็นร่วมด้วย

  1. ไม่แนะนาให้ใช้ ACE inhibitors และ Angiotensin blockers (RAS blockers) 2 ชนิดร่วมกัน

นี่คือแนวทางการรักษาที่ช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและมีความดันโลหิตสูงมีการควบคุมความดันโลหิตและสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้นได้.

แนวทางการรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีกลุ่มโรคอ้วนลงพุง:

  1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนลงพุง Metabolic Syndrome (MetS) ทุกรายควรปรับพฤติกรรมโดยเฉพาะการลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย เพื่อลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน

  1. ผู้ป่วยโรคอ้วนลงพุงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ควรใช้ยาลดความดันโลหิตที่เพิ่มความไวต่อ insulin หรืออย่างน้อยไม่ทำให้เลวลง เช่น ACE inhibitors และ Angiotensin blockers (RAS blockers) และ Calcium channel blockers (ยกเว้น Beta blockers ที่เพิ่มน้ำหนักได้) และยาขับปัสสาวะ ควรพิจารณาให้เป็นยาเสริม และไม่ควรให้ยาที่ขับ K

  1. แนะนำให้ใช้ยาลดความดันโลหิตในผู้ป่วยอ้วนลงพุงที่มีความดันโลหิตมากกว่า 140/90 มม.ปรอท หลังปรับพฤติกรรมเป็นเวลาพอสมควร และควบคุมใหความดันโลหิตน้อยกว่า 140/90 มม.ปรอท

4. ไม่แนะนำให้ใช้ยาลดความดันโลหิตในผู้ป่วย MetS ที่มีความดันโลหิตสูงไม่มาก

แนวทางการรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคไต:

ความดันในผู้สูงอายุ1
  1. ให้ลดความดันโลหิตตัวบนให้ต่ำกว่า 140 มม.ปรอท เมื่อพบว่ามีโปรตีนในปัสสาวะให้ลดความดันโลหิตตัวบนให้ต่ำกว่า 130 มม.ปรอท ร่วมกับการติดตามการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของไต

  1. Ace inhibitors และ Angiotensin blockers (RAS blockers) จะลดปริมาณโปรตีนในปัสสาวะได้ดีกว่ายาลดความดันโลหิตอื่นๆ และเป็นข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโปรตีนในปัสสาวะ proteinuria

  1. การควบคุมความดันโลหิตให้ถึงเป้าหมาย มักต้องใช้ยาหลายขนานร่วมกัน แนะนำให้ใช้ Ace inhibitors และ Angiotensin blockers (RAS blockers) กับยาลดความดันโลหิตชนิดอื่น

  1. แม้การใช้ Ace inhibitors และ Angiotensin blockers (RAS blockers) 2 ชนิดร่วมกันจะลดโปรตีนในปัสสาวะ proteinuria ดีขึ้น แต่ไม่แนะนาให้ใช้

  1. ไม่แนะนาให้ใช้ Spironolactone ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เพราะอาจทำให้สมรรถภาพไตเลวลงและเกิด hyperkalemia

แนวทางการรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคหลอดเลือดสมอง:

  1. ไม่แนะนาให้ลดความดันโลหิตในสัปดาห์แรกหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน แต่อาจพิจารณาให้ในรายที่ความโลหิตสูงมาก แนะนำให้ใช้ยาลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีประวัติโรคหลอดเลือดสมอง, TIA แม้ความดันโลหิตตัวบนจะอยู่ระหว่าง140-159 มม.ปรอท

  1. ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีประวัติโรคหลอดเลือดสมองเป้าหมายความดันโลหิตตัวบนน้อยกว่า 140 มม.ปรอท

  1. ผู้ป่วยสูงอายุที่เป็นความดันโลหิตสูงและเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ระดับความดันโลหิตก่อนรักษาอาจจะกำหนดให้สูงกว่าคนอายุน้อย และเป้าหมายก็อาจจะสูงกว่าคนปกติ ที่จะเริ่มให้ยาลดความดันโลหิตและความดันโลหิตเป้าหมายอาจกาหนดให้สูงขึ้น

  1. แนะนาให้ใช้ยาลดความดันโลหิตทุกกลุ่มในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง โดยยาดังกล่าวต้องมีประสิทธิผลดีในการลดความดันโลหิต

นี่คือแนวทางการรักษาที่ช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมความดันโลหิตสูงและลดความเสี่ยงต่อโรคภูมิต้านทานในกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องต่างๆได้ดีขึ้น โดยคำแนะนำเหล่านี้เป็นเพียงข้อแนะนำทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในด้านการรักษาเพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสมสำหรับสุขภาพของแต่ละบุคคล.

แนวทางการรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคหัวใจ:

  1. ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรลดความดันโลหิตตัวบนให้น้อยกว่า 140 มม.ปรอท
  2. ในผู้ป่วยที่เพิ่งเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย แนะนำให้ใช้ยาปิดกั้นเบต้า
  3. ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจอื่นๆ สามารถใช้ยาลดความดันโลหิตทุกกลุ่ม แต่เพื่อลดอาการเจ็บหน้าอกควรใช้ยาปิดกั้นเบต้าและยาเอนทิแรสเตอร์ (Calcium Antagonist)
  4. ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือฟังก์ชันการบีบตัวของหัวใจลดลง ควรใช้ยาขับปัสสาวะ, ยาปิดกั้นเบต้า, ACE inhibitors, ARB และ/หรือ Spironolactone เพื่อลดอัตราการตายและการเข้าโรงพยาบาล
  5. ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวและหัวใจยังบีบตัวดีอยู่ ยังไม่มีหลักฐานว่ายากลุ่มใดได้ประโยชน์ ควรลดความดันโลหิตตัวบนให้น้อยกว่า 140 มม.ปรอท โดยใช้ยาขับปัสสาวะและยาปิดกั้นเบต้า

แนวทางการรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis, arteriesclerosis)

และหลอดเลือดแดงที่ขาตีบ (peripheral artery disease - PAD)

ความดันในผู้สูงอายุ2
  1. ในรายที่พบหลอดเลือดแดงที่คอตีบ (carotid atherosclerosis) ควรให้ Calcium Antagonist และ ACE inhibitors มากกว่ายาขับปัสสาวะ (diuretics) และยาปิดกั้นเบต้า
  2. ผู้ป่วยทุกรายที่มี Pulse Wave Velocity (PWV) > 10 ม./วินาที ควรให้ยาลดความดันโลหิต ควบคุมให้ความดันโลหิตต่ำกว่า 140/90 มม.ปรอท
  3. ผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดแดงที่ขาตีบควรให้ยาลดความดันโลหิตควบคุมให้ความดันโลหิตต่ำกว่า 140/90 มม.ปรอท เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

แนวทางการรักษาผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงที่ดื้อต่อการรักษา (โรคความดันที่ดื้อยา):

  1. หากผู้ป่วยดื้อต่อยาหลายชนิดแล้วยังคงมีความดันโลหิตสูง แพทย์ควรตรวจสอบยาที่ไม่ได้ผลดีและหยุดยานั้น
  2. ควรใช้ spironolactone หรือ amiloride และ doxazosin หากไม่มีข้อห้าม และในรายที่ดื้อต่อการรักษาให้พิจารณาการทำ renal denervation (RDN) และ baroreceptor stimulations (BRS) โดยควรให้ผู้เชี่ยวชาญในสถาบันการศึกษาดูแล และติดตามอย่างใกล้ชิด

แนวทางการรักษาเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาเพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล.

แนวทางการรักษาปัจจัยเสี่ยงในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง:

  1. การใช้ยาลดไขมัน (statin):

   – ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ระดับปานกลางถึงสูง ควรใช้ statin โดยมีเป้าหมายให้ไขมัน LDL-C น้อยกว่า 115 มก./ดล.

   – แนะนำให้ใช้ statin ในผู้ที่มีหล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยให้ LDL-C น้อยกว่า 70 มก./ดล.

  1. การใช้ยาต้านเกล็ดเลือด (ASA):

   – ให้ ASA ในผู้ที่มีโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดมาก่อน

   – ให้ ASA ในผู้ที่มีไตเสื่อมหรือมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หลังจากควบคุมความดันโลหิตได้ดีแล้ว

   – ไม่ให้ ASA ในผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดต่ำถึงปานกลาง

  1. การควบคุมน้ำตาลในเลือด (HbA1c) ในผู้ป่วยเบาหวาน:

   – ในผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมให้ค่า HbA1c น้อยกว่าร้อยละ 7.0

   – ในผู้ป่วยสูงอายุที่มีประวัติโรคเบาหวานยาวนานและรักษายาก หรือมีภาวะอื่นร่วมด้วยมาก ควรควบคุมให้ HbA1c อยู่ระหว่างร้อยละ 7.5-8.0

การควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและสถานการณ์ด้วย.

ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุลาดพร้าว

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*
*