Every day

7:00 - 18:00

Call us

0970405069 , 0956416356

ปอดอักเสบในผู้สูงอายุ

ปอดอักเสบในผู้สูงอายุ

ปอดอักเสบเกิดจากอะไร

โรคปอดอักเสบเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่าง โดยทั่วไปเชื้อที่เป็นสาเหตุสำคัญมักเป็นแบคทีเรียหรือไวรัส ส่วนใหญ่จะพบเชื้อเหล่านี้ในช่วงฤดูฝนหรือในสภาพแวดล้อมที่ชื้นชอบสร้างเหตุการณ์โรค โดยโรคนี้มักจะเป็นผลจากการติดเชื้อหลังจากไข้หวัดใหญ่ เราควรระวังอาการที่แสดงออกมาและพบหมอทันทีหากมีอาการของโรคปอดอักเสบเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันทีที่สุด

ปอดอักเสบในผู้สูงอายุรุนแรงถึงชีวิตจริงหรือไม่

ในผู้สูงอายุที่มีภูมิต้านทานต่ำ โอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากปอดอักเสบมีความเสี่ยงสูงมาก เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือดหรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุที่เป็นโรคนี้เสียชีวิตได้มากถึง 50% ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้โรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุเป็นไปได้ว่างที่จะมีผลร้ายมากกว่าในกลุ่มคนทั่วไป อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นบนระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำให้การรักษาเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น

อาการของโรคเป็นอย่างไร

โรคปอดอักเสบมีอาการที่หลากหลายและมักเริ่มขึ้นจากอาการของไข้หวัดทั่วไปก่อน หลังจากนั้นอาจมีอาการเพิ่มเติมเช่น ไอ, เสมหะ, หายใจเหนื่อยหอบ, เจ็บแน่นหน้าอก, คลื่นไส้, อาเจียน, อ่อนเพลีย, และไข้สูง อาการเหล่านี้สามารถช่วยแยกแยะได้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่อาจเป็นโรคปอดอักเสบ ในผู้สูงอายุโอกาสที่จะมีอาการอื่นเช่น การซึมลงหรือสับสนอาจเพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีไข้หรืออาการไอมาก่อนการแสดงอาการอื่นๆ ที่ไม่แน่นอนนี้สามารถทำให้การรับรู้ของโรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุเป็นไปได้ยากขึ้นได้

รู้ได้อย่างไรว่าปอดอักเสบ

ปอดอักเสบสามารถรู้จักได้จากอาการที่ผู้ป่วยแสดงออกมา รวมถึงผลการตรวจร่างกายและการตรวจ X-ray ปอด แพทย์อาจสังเกตเซ็นเซอร์ที่เป็นช่องโหว่บนปอดผ่านฟังก์ชันการหายใจ อาจจะมีการรวบรวมสารสนเทศเพิ่มเติมจากการตรวจเลือดและตรวจเสมหะเพื่อยืนยันการติดเชื้อและหาเชื้อสาเหตุ จากนั้นผลการตรวจที่ได้จะนำมาพิจารณาเพื่อเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วย

รักษาโรคปอดอักเสบได้อย่างไร

การรักษาโรคปอดอักเสบจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคและความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปแล้ว:

  1. การให้ยาฆ่าเชื้อ: ในกรณีที่โรคเกิดจากแบคทีเรีย จะให้ยาฆ่าเชื้อในรูปแบบยากินหรือยาฉีด เมื่อรับยาฆ่าเชื้อตามคำแนะนำจะช่วยให้อาการดีขึ้นในระยะเวลา 2-3 วัน
  2. การดูแลสุขภาพ: ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากพอสมควร เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น
  3. การรักษาในโรงพยาบาล: สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังอื่นๆ อาจต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อการดูแลอย่างใกล้ชิด และป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน

การรักษาโรคปอดอักเสบมุ่งเน้นที่การบริหารจัดการอาการและการป้องกันการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น การได้รับการรักษาทันเวลาและตรวจสอบโดยแพทย์เป็นสำคัญเพื่อป้องกันภาวะที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงได้ล่วงหน้า

ปอดอักเสบในผู้สูงอายุ1

ปอดอักเสบป้องกันได้หรือไม่

ใช่ โรคปอดอักเสบสามารถป้องกันได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดโรค ตัวอย่างเช่น Streptococcus pneumoniae ซึ่งเป็นเชื้อที่มีสายพันธุ์มากมาย และสามารถก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบและโรคอื่นๆ เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือดและเยื่อหุ้มสมองได้ วัคซีนได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อนี้ โดยมี 2 ชนิดหลักคือ Conjugated Vaccine และ Polysaccharide Vaccine

– Conjugated Vaccine เช่น PCV13 ที่ใช้ในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงสูง ช่วยป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อ Streptococcus pneumoniae สายพันธุ์ที่สำคัญได้รวมถึงการก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบ

– Polysaccharide Vaccine เช่น PPSV23 ใช้ในผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป ช่วยป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อ Streptococcus pneumoniae สายพันธุ์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง

วัคซีนเหล่านี้มีผลข้างเคียงเบาๆ เช่น อาการปวด บวม แดง และอาจมีไข้หรืออาการเมื่อยล้าขณะที่เกิดขึ้นหลังการฉีด แต่อาการข้างเคียงรุนแรงพบได้น้อยมาก และส่วนมากจะหายไปภายใน 2-3 สัปดาห์หลังการฉีด

ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีน

  1. ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปี
  2. ผู้ที่มีอายุ 2 – 65 ปี
  • มีภูมิคุ้มกันผิดปกติจากยา เช่น สเตียรอยด์ ยากดภูมิ ยาต้านมะเร็งบางชนิด
  • ได้รับการฉายรังสีหรือเป็นจากตัวโรคเอง เช่น โรคไตวาย มะเร็ง ไม่มีม้ามหรือม้ามไม่ทำงาน ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูก ติดเชื้อ HIV ฯลฯ
  • มีปัญหาโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอด โรคหัวใจ เบาหวาน ตับแข็ง พิษสุราเรื้อรัง สภาวะที่มีการรั่วของน้ำไขสันหลัง ได้รับการปลูกถ่าย Cochlear
  1. ผู้ที่มีอายุ 19 – 64 ปี ที่สูบบุหรี่หรือเป็นโรคหืด

โดยการฉีดจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ครั้ง และในบางรายอาจพิจารณาฉีดซ้ำหลังครั้งแรก 5 ปี เช่น ในรายที่ภูมิต้านทานหลังฉีดลดลงง่าย เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ติดเชื้อ HIV ไม่มีม้ามหรือม้ามไม่ทำงาน ใช้ยากดภูมิ ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือหากการฉีดครั้งแรกที่ก่อนอายุ 65 ปี และได้รับการฉีดมานานกว่า 5 ปีแล้วก็พิจารณาฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หลังจากครั้งที่ 2 ไม่มีความจำเป็นต้องฉีดซ้ำอีกไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด

ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เป็นโรคปอดอักเสบ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยเป็นไข้หวัดหรือเริ่มมีอาการไข้หวัด
  • ล้างมือสม่ำเสมอเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
  • ดูแลตัวเองให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงโรคปอดอักเสบได้

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*
*