Highlights:
การลดลงของสารเซโรโทนินและโดปามีน และการเพิ่มขึ้นของสารอนุมูลอิสระภายในสมอง ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลต่อความจำในผู้สูงวัย อาจทำให้มี อาการหลงลืม ในผู้สูงอายุ แม้แต่ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง
- สาเหตุของการสูญเสียความจำ อาจมาจากหลายปัจจัย เช่น การใช้ยาต่าง ๆ การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปริมาณมาก การสูบบุหรี่ การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการนอนที่ไม่มีคุณภาพ การหยุดหายใจขณะหลับ การขาดวิตามินบางชนิด เช่น B1 B12
- การเดินสัปดาห์ละ 10-15 กิโลเมตรจะช่วยลดการหดตัวของเนื้อสมองและทำให้มีความจำที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
อาการหลงลืม ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่หลายคนนึกถึงเมื่อพูดถึงผู้สูงวัย แต่ทราบหรือไม่ว่า อาการหลงลืมในผู้สูงอายุ นั้นมีทั้งที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น และเกิดจากตัวโรคที่สามารถรักษาและบรรเทาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง รวมถึงสามารถชะลอและจัดการอาการไม่ให้เป็นมากขึ้นได้อีกด้วย
เมื่อมีอายุมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงในระบบประสาทและสมอง ดังนี้
- เนื้อสมองมีการหดเล็กลง ส่งผลต่อการเรียนรู้และการใช้ความคิดที่ซับซ้อน
- การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทมีประสิทธิภาพลดลง
- ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลง
- การอักเสบและการขาดเลือดในบริเวณเล็ก ๆ ของเนื้อสมอง
- การลดลงของสารเซโรโทนินและโดปามีน และการเพิ่มขึ้นของสารอนุมูลอิสระภายในสมอง
- ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลต่อความจำในผู้สูงวัย แม้แต่ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีสาเหตุของการสูญเสียความจำอื่นๆ ดังนี้
- การใช้ยาต่าง ๆ เช่น ยากันชักบางประเภท ยาต้านซึมเศร้าและยานอนหลับบางประเภท
- การบาดเจ็บทางสมอง อาจทำให้มีการสูญเสียความทรงจำถาวรหรือค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลาก็เป็นได้
- โรคเกี่ยวกับฮอร์โมนไทรอยด์
- การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปริมาณมาก
- การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการนอนที่ไม่มีคุณภาพ การหยุดหายใจขณะหลับ
- การขาดวิตามินบางชนิด เช่น B1 B12
- การได้ยาเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
- โรคหลอดเลือดสมองในเนื้อสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ
- โรคหรือเหตุการณ์ด้านจิตใจ
- โรคลมชัก
- โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์
- การติดเชื้อภายในระบบประสาทและสมอง
ประเภทของการสูญเสียความจำ
การสูญเสียความจำมีได้หลายชนิด แต่ละชนิดมีสาเหตุและส่งผลต่อการใช้ชีวิตแตกต่างกันไป
- การสูญเสียความทรงจำระยะสั้น (Short term memory loss)
ผู้ที่มีการสูญเสียความทรงจำระยะสั้น จะลืมสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือกิจกรรมที่เพิ่งทำ เช่น ลืมว่าวางสิ่งของไว้ที่ใด ลืมว่าเพิ่งอ่านหรือเห็นอะไร ลืมสิ่งที่ถามหรือทำไปแล้ว เช่น กินข้าว อาบน้ำ การสูญเสียความทรงจำระยะสั้น อาจเป็นกลไกปกติตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของโรคที่รุนแรงได้
- การสูญเสียความทรงจำระยะยาว (Long term memory loss)
ความทรงจำระยะยาวจะช่วยเรื่องการเก็บความทรงจำต่าง ๆ ความเข้าใจและความสามารถในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ความทรงจำระยะยาวอาจค่อย ๆ เสื่อมลงได้ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น อาจต้องใช้เวลาในการนึก เรียนรู้หรือเข้าใจมากขึ้น หรืออาจทำกิจกรรมหลายอย่างพร้อมกันได้ลำบากขึ้น แต่โดยปกติความรู้และทักษะต่าง ๆ มักจะคงที่
- การสูญเสียความจำประเภทการรู้สึกตัวแบบไม่รุนแรง (mild cognitive impairment)
ผู้สูงอายุบางคนมีปัญหาด้านความจำ แต่ไม่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน อาจมีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ และเป็นบ่อยขึ้น เช่น ทำของหายบ่อย ๆ ลืมนัดหรือกิจกรรมที่ต้องทำ การสูญเสียความจำประเภทนี้ อาจเป็นเรื่องปกติของอายุ หรือเป็นสัญญาณของโรคที่รุนแรงขึ้นได้
อาการหลงลืมในผู้สูงอายุ แบบไหนเรียก อาการหลงลืมปกติ
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น โดยทั่วไปอาจมีผลต่อความทรงจำยะยะยาว เช่น การนึกคำที่ต้องการใช้ไม่ออก หรือต้องใช้เวลานึกเป็นเวลานาน การลืมรายละเอียดของเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว นึกชื่อหรือสิ่งของต่าง ๆ ไม่ออก แต่มักจะนึกได้ในภายหลัง การลืมว่าวางของต่าง ๆ เช่น แว่นตาหรือรีโมทไว้ที่ใด ลืมว่าเดินมาห้องนี้ทำไม
สัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องปรึกษาแพทย์
เมื่ออายุมากขึ้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงและมีความทรงจำที่แย่ลงได้ แต่หากมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคที่รุนแรง เช่น หลอดเลือดสมอง สมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์
- การมีปัญหากับการพูดและเขียนที่เป็นขึ้นมาในทันที
- สับสนเรื่องบุคคล เวลา และสถานที่ เช่น จำคนในครอบครัวไม่ได้ ไม่ทราบว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน หรือมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เป็นต้น
- มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์หรือพฤติกรรม เช่น สับสน ก้าวร้าว ซึมเศร้า วิตกกังวลเพิ่มขึ้นอย่างมาก
- ทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้
หากท่านหรือคนครอบครัวมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษา
เคล็ดลับจัดการ อาการหลงลืม ในผู้สูงอายุ
การดูแลตนเองจะช่วยป้องกันและชะลออาการหลงลืมตามอายุ และบรรเทาอาการหลงลืมจากโรคบางชนิดไม่ให้เป็นมากขึ้นอย่างรวดเร็วได้ เช่น
- เข้าสังคม การที่ได้เข้าสังคมและทำกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกับผู้อื่นจะช่วยฝึกความคิดและทักษะต่าง ๆ ผู้ที่เข้าสังคมและทำกิจกรรมกับครอบครัวหรือผู้อื่นสม่ำเสมอจะมีความจำที่ดีกว่าผู้ที่อยู่ตัวคนเดียวหรือมักทำกิจกรรมคนเดียว
- เลิกบุหรี่ การสูบบุหรี่จะเพิ่มการอักเสบของเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะสมองเสื่อมได้
- ลด หรือเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- จัดการกับความเครียด ความเครียดเพิ่มฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งสามารถส่งผลเสียให้สมองและความทรงจำได้ การจัดการความเครียดจะช่วยลดผลเสียต่าง ๆ เหล่านี้
- นอนให้เพียงพอและมีคุณภาพ หากมีปัญหาการนอนควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรซื้อยานอนหลับรับประทานเอง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการออกกำลังแบบคาร์ดิโอและการรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- การเดินสัปดาห์ละ 10-15 กิโลเมตรจะช่วยลดการหดตัวของเนื้อสมองและทำให้มีความจำที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
- ฝึกการใช้สมอง
- เล่นเกมที่ต้องใช้กลยุทธ์ เช่น หมากรุก เกมต่อคำ ซุโดกุ
- อ่านหนังสือที่ต้องใช้ความคิด
- พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น เข้าคอร์สทำอาหาร วาดรูป เล่นดนตรี
- ทำกิจกรรมเดิม ๆ ให้มีความท้าทายมากขึ้น เช่น ฝึกการใช้ภาษาที่สองที่รู้อยู่แล้วให้มากขึ้น หากเล่นกีฬาก็ฝึกฝนเทคนิคที่ยากขึ้น เป็นต้น
- ทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือการวางแผน เช่น การจัดสวนหรือจัดบ่อปลา เป็นต้น